เมนู

กรุงมิลินท์ปิ่นสาคลราชธานีจึงมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
เงาที่ปรากฏในกะละออมแก้วนี้ก็อาศัยเนื่องไปแต่ตัวโยม
พระนาคเสนก็โน้นน้อมเป็นอุปมาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร
ผู้ประเสริฐในสิริมไหศวรรย์ วรรษาของอาตมานี้ก็เหมือนกัน อาศัยอาตมาบรรพชามาคณนานับได้
7 พระวรรษา ในกาลบัดนี้
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นพิภพ ได้ทรงฟังก็นอบนบซ้องสาธุการว่า สธุสะปัญหาเปรียบ
ของพระผู้เป็นเจ้าเอามาเปรียบนี้ไม่ผิด ฟังนี้วิจิตรอัศจรรย์ครัน
วัสสปัญหา คำรบ 2 จงเท่านี้

เถรัสสติกขปฏิภาณปัญหา ที่ 3


อถ โข มิลินโท ราชา

ครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดี มีสุนทรพจ-
นารถพระราชโองการถามอรรถปัญหาสืบไปว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า
อันว่าบรรพชาของพระผู้เป็นเจ้านี้ โก ปรมตฺโถ มีประโยชน์อันอุดมดีอย่างไร กิมตฺถิยา
ประโยชน์ด้วยสิ่งอันใดจึงบรรพชา พระผู้เป็นเจ้าจงวิสัชนาแก้ไขให้แจ้งก่อน
พระนาคเสนจึงถวายพระพระว่า มหาราช ดูกรบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐในสิริ
ราชมไหศวรรย์ บรรพชาของอาตมานั้นเป็นประโยชน์ดับเสียซึ่งทุกข์ที่มีในสันดาน แล้วมิให้
ทุกข์ประการอื่นบังเกิดได้ ประการหนึ่งบรรพชาของอาตมานี้ประเสริฐยิ่งนัก จักให้เป็นประโยชน์
แก่มนุษย์นิกรเทวดา มนุษย์นิกรเทวดาไหว้นบเคารพบูชาถวายไทยทาน บรรดาที่จะให้เกิดผล
เมื่อสิ้นชนม์มรณกาลแล้ว เดชะผลที่ได้กระทำสักการถวายทานแก่รูปอันบรรพชาก็จะปิดเสียซึ่ง
ประตูจตุราบาย ก็จะได้ไปชมสมบัติ 3 ประการ คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ
เหตุฉะนี้รูปจึงว่า บรรพชาของรูปนี้โสด จะให้เป็นประโยชน์แก่นิกรมนุษย์เทวดาทั้งหลาย
ขอถวายพระพร
พระจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นสาคลนคร ได้ทรงฟังพระนาคเสนสำแดงแจ้งกระจ่าง ก็มิได้มี
ทางที่จะซักไซ้ ก็หันเหเสประภาษพจนารถอื่นไปว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้านาคเสน
โยมนี้อยากจะใคร่พูดอยากใคร่เจรจาพาทีกันด้วยพระผู้เป็นเจ้านักหนา

พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า ดูรานะมหาบพิตรจะเป็นอะไร ตรัสว่ากระไรจงตรัสเถิด
แต่บพิตรผู้ประเสริฐอย่าประภาษด้วยราชวาท จงตรัสกับอาตมาเป็นบัณฑิตวาท
พระเจ้ามิลินท์นรินทรราชจึงประภาษถามว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บัณฑิต-
วาทนักปราชญ์เจรจานี้เจราจาประการใด โยมยังสงสัยอยู่ นิมนต์วิสัชนาไปก่อน
อ้อ ขอถวายพระพร ธรรมดาว่าปราชญ์เจรจาย่อมสุนทรอ่อนหวานมิได้เจรจาหักหาญข่มขี่
ปฏิกฺกมฺม กระทำดีเรียบร้อย ถ้อยคำย่อมกระทำให้วิเศษต่าง ๆ ย่อมกระทำปฏิเสธกั้นกาง
การอกุศลกรรม อเวฐนํ ย่อมกระทำเคล้าคลึงโน้มน้อมเข้าในสิ่งเป็นกุศล มีรักษาศีลให้ทาน
เป็นต้น น กุปฺปนฺติ มิได้กำเริบรานร้ายกาจ ธรรมดาว่าปราชญ์ย่อมเจรจาดุจอาตมาวิสัชนาฉะนี้
ขอถวายพระพระ
พระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการถามว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่
พระนาคเสนผู้เป็นเจ้าผู้ฉลาด อีกประการหนึ่งที่พระผู้เป็นเจ้าว่าราชวาทคือคำกษัตริย์ขัตติย-
มหาศาล นั้นเป็นประการใด จงวิสัชนาให้โยมฟังก่อน
ขอถวายพระพร บรมกษัตริย์ขัตติยมหาศาลจะตรัสย่อมหักหาญเอาด้วยปัญญาของตน
ปฏิญาณในวัตถุสิ่งเดียว ได้ตรัสให้กระทำดังนี้ ถ้ามีผู้ใดขัดพระราชโองการโสด โทษก็มียิ่งแก่
ผู้นั้น อันกษัตริย์นี้จะตรัสเจรจาพาทีมิได้อนุโลมตามใคร ความกระนี้จึงไม่ให้ตรัสด้วยอาตมา
เป็นคำราชวาท บพิตรจะตรัสเป็นราชวาทกับอาตมา อาตมาก็มิได้สนทนาด้วยบพิตรพระราช-
สมภาร ในกาลบัดนี้
ขณะนั้นสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน
ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า โยมนี้จะเอาคำนักปราชญ์มาเจรจา มิได้พูดกับพระผู้เป็นเจ้าโดยคำ
ท้าวคำพระยา
อ้อ ถ้ากระนั้นจะตรัสอย่างไรเร่งตรัสมาเถิด ขอถวายพระพร
พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นสาคลนคร จะลองปัญญาพระผู้เป็นเจ้าว่าจะเขลาเคลิ้มประการใด
จึงตรัสไต่ถามเป็นสำนวนลมปากเปล่าอีกเล่าว่า โยมจะถามพระผู้เป็นเจ้า
บพิตรจะถามอย่างไร จงถามเถิด
โยมถามแล้ว
ขอถวายพระพร อาตมาแก้แล้ว

พระผู้เป็นเจ้าแก้อย่างไร จงวิสัชนาให้แจ้งก่อน
ขอถวายพระพร อาตมาแก้แล้ว
พระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีไต่ถามปัญหาสำนวนเปล่าเช่นนี้ทีหนึ่งแล้วกลับมา
ถามซ้ำอีกเล่า หวังจะลองปัญญาพระนาคเสนว่าจะเขลาหรือฉลาด จะยั่งยืนอยู่ไม่ครั่นคร้าม
หรือประการใดเท่านั้น
เถรัสสติกขปฏิภาณปัญหา คำรง 3 จบเท่านี้
อถ โข มิลินฺทสฺส รญฺโญ เอตทโหสิ แท้จริงอันดับนั้นมา สมเด็จบรมกษัตราธิราช
มิลินท์ภูมินทราธิบดี ทรงพระราชดำริฉะนี้ว่า อยํ ภิกฺขุ พระภิกษุรูปนี้ ปณฺฑิโต มีปัญญาอาจ
สามารถที่จะวิสัชนาได้ อาตมาจะถามโดยเหตุอันพิเศษหลาก ๆ มากนักหนา เวลานี้ก็เป็นเวลา
สายัณห์ตะวันอัสดงลงลับไป เสฺว ต่อวันรุ่งพรุ่งนี้จะให้นิมนต์พระนาคเสนเข้าไปสู่พระราช-
ฐานของอาตมา จะถามอรรถปัญหาให้หลาก ๆ มากกว่านี้ ดำริแล้วพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทรา
ธิบดีมีพระราชโองการสั่งเทวมันติยอำมาตย์ผู้ฉลาดว่า ดูกรเทวมันติยอำมาตย์ จงอาราธนา
พระผู้เป็นเจ้านาคเสนให้เข้ามาสั่งสนทนากับด้วยเราในราชนิเวศน์แต่เพลาเช้าอย่าให้พระผู้เป็นเจ้า
ไปในที่อื่น ตรัสแล้วพระองค์ก็ลาพระภิกษุแปดหมื่นกับพระนาคเสนเสด็จถึงประตูอสงไขย
บริเวณวงวัด อสฺสํ อภิรุยฺหิตฺวา ก็เสด็จขึ้นหลังอาชาชาติสินธพพระที่นั่งทรง พร้อมด้วยหมู่
นิกรแสนจตุรงค์ พระองค์ก็ตรัสบ่นแต่ว่า นาคเสน นาคเสน มาบนหลังสินธพ พระที่นั่งกระทั่ง
ถึงประตูพระราชวัง เสด็จเจ้ายังอันเตปุระราชนิเวศน์ตำหนักทองของพระองค์ในกาลครั้งนั้น
ฝ่ายเทวมันติยอำมาตย์ ก็อาราธนาพระนาคเสนดุจกระแสพระราชโองการ ส่วนพระ
นาคเสนก็ชื่นบารับอาราธนา ตสฺส รตฺติยา อจฺจเยน ครั้นรุ่งราษราตรีรัศมีทิวากรสว่าง
กระจ่างฟ้า ฝ่ายว่าอำมาตย์ทั้งหลาย 4 คน ชื่อว่าเนมิตติยอำมาตย์คน 1 ชื่อว่าอันตกาย
อำมาตย์คน 1 ชื่อว่าอังกุรอำมาตย์คน 1 ชื่อว่าสัพพทินนอำมาตย์คน 1 สิริเป็น 4 คนด้วยกัน
จึงทูลสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
เพลาเช้าวันนี้ทรงพระกรุณาจะให้พระนาคเสนมาสู่ราชฐานหริอประการใด
จึงมีพระราชโองการตรัสว่า เออให้เธอเข้ามาเถิด
อำมาตย์จึงทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระภิกษุบริวารพานจะมากถึงแปดสิบพัน
จะโปรดให้พระนาคเสนนั้นนิมนต์มาด้วยเท่าไร
จึงมีพระราชโองการตรัสว่า ตามแต่ในพระนาคเสนท่านจะพามา

สัพพทินนอำมาตย์จึงทูกล่า ขอพระราชทานให้พระนาคเสนนิมนต์พระสงฆ์มาด้วย 10
องค์ อย่าให้เอามามากเลย
พระราชโองการตรัสว่า สัพทินนะเอ่ย อย่าบังคับเลย ตามในท่านจะมาเถิด สัพพทินน-
ของที่จะเลี้ยงพระภิกษุนี้สินไปไม่มีหรือประการใด ท่านจะเจ้ามาเท่าไรตามใจท่าน โภชนา
อาหารในราชฐานของเรามีเป็นนักเป็นหนา จังหันจะไม่พอเพียงที่จะเลี้ยงท่านหรือประการใด
สัพพทินนะฟังพระราชโองการก็ก้มหน้านั่งนิ่งอยู่ หารู้ที่จะรู้ทูลทัดขัดพระราชโองการไม่
ส่วนอำมาตย์ทั้ง 4 ได้สวนาการฟังกระแสพระราชโองการฉะนี้ อำมาตย์ทั้ง 4 คือ
สัพพทินนะ เนมิตติยะ เจ้าอังกุระและเจ้าอันตกายะ ก็พากันถวายบังคมลาลุกมาขมีขมัน
มิทันใดก็ถึงอสงไขยบริเวณ จึงเข้าไปสู่สำนักพระนาคเสน องค์เอกอเสกขบุคคล นิมนต์พลันว่า
ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มีพระราชโองการให้กระหม่อมฉันมานิมนต์พระเจ้าให้เข้าไป
ฉันยังนิเวศน์วังใน กับภิกษุบริวารมากเท่าใดก็ตามน้ำใจพระผู้เป็นเจ้าจะพาเข้าไปในกาลบัดนี้
อถ โข อายสฺมา นาคเสโน ขณะนั้นพระนาคเสนองค์พระอรหันต์อันมีอายุมิ่งมงกุฎ-
โมลีโดยฟังอำมาตย์ทั้ง 4 อาราธนา ปตฺตจีวรมาทาย ก็นุ่งสบงทรงจีวรมีพระกรจับบาตร
พาสงฆ์แปดหมื่นลีลาศมาเป็นอันดับกัน ปุพฺพณฺหสมเย แต่เพลาเข้าพระผู้เป็นเจ้าก็เจ้าสู่พระ
ราชธานี ฝ่ายอำมาตย์ทั้ง 4 ก็ตามไปด้วยกัน

อันตกายปัญหา ที่ 4


อันตกายอำมาตย์นั้น จึงถามปัญหาพระนาคเสนองค์เอกอรหันต์ว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้
เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าววานนี้ว่า ชื่อของพระผู้เป็นเจ้าชื่อนาคเสน แต่ว่าชื่อนาคเสนนี้มิได้
จัดเป็นสัตว์เป็นบุคคล นี่แหละข้าพเจ้ายังสงสัย พระนาคเสนจึงถามอันตกายะไปว่า ท่านเข้า
ใจว่าอะไรชื่อนาคเสน
อันตกายะจึงกล่าววาจาว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเข้าใจว่าลมหายใจเข้าออกใน
กายนี้ยังมีอยู่ตราบใด ก็ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ เหมือนอย่างพระผู้เป็นเจ้าฉะนี้มีชีวิตอยู่ได้ว่านาคเสน